จุดแดง "ปานสตรอว์เบอร์รี่" อันตรายต่อเด็กแรกเกิดหรือไม่?
อัพเดทล่าสุด: 8 ต.ค. 2025
135 ผู้เข้าชม

ปานสตรอว์เบอร์รี่ อันตรายต่อเด็กแรกเกิดหรือไม่
"ปานสตรอว์เบอร์รี" หรือ Haemangiomas เป็นปานชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กทารก มีสีแดงหรือม่วงคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี สามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่พบบ่อยบริเวณศีรษะและลำคอ โดยจะเริ่มพัฒนาขึ้นหลังคลอดไม่นาน เกิดจากการที่เซลล์ซึ่งบุหลอดเลือด (ทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ) เจริญเติบโตมากผิดปกติ
| ลักษณะและอาการ |
- มักปรากฏขึ้นในช่วงวัยทารกตอนต้น
- ในช่วงแรกอาจดูเหมือนรอยข่วนหรือรอยฟกช้ำจากการคลอด
- หากอยู่บนผิวหนัง จะมีลักษณะเป็นปื้นแบนสีแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี
- หากอยู่ลึกเข้าไปในผิวหนัง จะมีลักษณะเป็นก้อนสีออกน้ำเงิน
- บางครั้งก็มีทั้งส่วนที่อยู่บนผิวและส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป
| การเติบโตและการหายไป |
ในช่วง 2-3 เดือนแรก ปานจะโตเร็วมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ปกครองตกใจได้ แต่หลังจากนั้นการเติบโตจะช้าลง และจะค่อยๆ เริ่มหดตัวและจางหายไปเอง ส่วนใหญ่จะหายไปเกือบหมดเมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ แต่บางกรณี (น้อยกว่า 1 ใน 10) อาจยังคงอยู่จนถึงอายุ 8-9 ปี เมื่อหายไปแล้ว อาจทิ้งร่องรอยเป็นผิวหนังที่หย่อนคล้อยไว้บ้าง
| อาการที่ควรระวัง |
- ผิวบริเวณปานอาจเกิดเป็นแผล ซึ่งทำให้เจ็บปวดและมีเลือดออกได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดแรงกดทับ เช่น บริเวณที่ผ้าอ้อมรัด
- หากปานเกิดแผลและเจ็บปวดมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือกุมารแพทย์
- ปานมีขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่า 3 ซม.) หรือเด็กที่มีปานมากกว่า 5 จุด ควรได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
| เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์ |
- ปานกดทับโครงสร้างที่สำคัญ เช่น ตา, จมูก, หู หรือหลอดลม
- ปานที่เปลือกตาหรือมีขนาดใหญ่บนใบหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้านการมองเห็น เช่น ตาบอด
- ปานมีเลือดออก, เป็นแผล, เจ็บปวด และไม่หาย
- ปานมีผลกระทบต่อความมั่นใจและการเข้าสังคมของเด็กเมื่อเข้าสู่วัยเรียน
บทความที่เกี่ยวข้อง
คือโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในทารก ทำให้เกิดผื่นสะเก็ดสีเหลืองหรือสีขาวบนหนังศีรษะ คล้ายขี้ผึ้ง เกิดจากไขมันหรือที่เรียกว่า seborrhea สามารถปรากฏขึ้นได้บนตำแหน่งหนังศีรษะ
โรคเท้าปุก เป็นความผิดปกติของกระดูกเท้าและข้อเท้าตั้งแต่แรกเกิด ลักษณะเท้าจะโก่ง เท้าส่วนหน้าบิดเข้าด้านใน ส้นเท้าบิดเข้าด้านใน และปลายเท้ากระดกลง
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์คือภาวะที่ความดันโลหิตของว่าที่คุณแม่สูงขึ้นผิดปกติ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งตัวแม่และทารกในครรภ์ได้


